LVMH บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการแฟชั่น เบียดแซงธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอันดับหนึ่งอย่าง Nestle ร่วงลงมาและขึ้นแท่นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในยุโรปไปเป็นที่เรียบร้อย ในฐานะที่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมแฟชั่น และประกอบไปด้วยเบรนด์ลักชัวรี่กว่า 75 แบรนด์ในเครือ ไม่ว่าจะเป็น Louis Vuitton, Dior, Givenchy, Fendi หรือแบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์อย่าง Moet-Hennessey รวมถึงเข้าซื้อกิจการจิวเวลรี่ของอเมริกาอย่าง Tiffany & Co. ในราคา 15.8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการซื้อกิจการในราคาที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสินค้าลักชัวรี่
Photo: Getty Images
ย้อนไปเมื่อครึ่งปีแรกของปี 2020 มูลค่าหุ้นและผลกำไรของ LVMH ลดลงอย่างมาก เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้อุตสาหกรรมแฟชั่นซึ่งเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยเกิดการสั่นสะเทือนเป็นสิ่งแรก แต่ในทางกลับกันในเดือนพฤศจิกายน LVMH พลิกกระดาน หักปากกาเซียนทั้งหลายด้วยการปิดผลกำไรปี 2020 ด้วยกำไร 24% หรือราวๆ 617 ดอลลาร์ พร้อมราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นกว่า 43%
Photo: Getty Images
สิ่งแรกที่เห็นได้ชัดเจนหากมองภาพรวม คือรายได้ของ LVMH ลดลงเพียง 16% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 53 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ดีเมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ค่อนข้างไม่มั่นคงของอุตสาหกรรมแฟชั่น โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มได้แก่ แบรนด์แฟชั่น และเครื่องหนัง โดยรายได้กลุ่มนี้ลดลงเพียง 3% และคิดเป็น 86.5% ของกำไรของ LVMH ในปี 2020 สิ่งต่อมาคือยอดขายทั่วเอเชียซึ่งเป็นตลาดสำคัญของสินค้าแฟชั่นสุดหรู ซึ่งมียอดขาย 34% เมื่อปีที่แล้ว และมียอดขายเพิ่มขึ้นจากเดิม 21% เมื่อวัดผลกับปีก่อนหน้า และหากเทียบกับ 24% ในอเมริกา และในทางตรงกันข้าม ยอดขายในตลาดยุโรปก็ลดลงกว่า 24% โดยไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจอะไรเพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปและเชื่อว่ายอดขายจากหน้าร้านจะถูกแทนที่ด้วยการขายผ่านช่องทางออนไลน์ได้อย่างแน่นอน
Photo: Getty Images
เรียกว่า LVMH ถือเป็นธุรกิจที่สามารถเป็นโมเดลในแวดวงเศรษฐกิจโลกในช่วงเวลาที่ไม่สามารถคาดเดาอะไรจริงๆการพลิกสถานการณ์กลับมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยมีใครพบเจอมาก่อน รวมถึงการรับมือกับผู้บริโภคที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จนไม่สามารถใช้วิธีการขายแบบเดิมๆ ได้ นับว่าเป็นการแสดงศักยภาพในการถือครองมูลค่าตลาดที่เป็นสิ่งที่น่าจับตามองอย่างมากเลยจริงๆ